วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สื่อกับผลกระทบต่อการบริโภคของเด็กและเยาวชน

 


            เด็กและเยาวชนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศในทุกมิติ  การศึกษาและกระบวนการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาศักยภาพในตัวของเด็กและเยาวชนให้เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณค่าของประเทศต่อไป   ซึ่งการพัฒนาเด็กและเยาวชนให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรู้  มีความสามารถ  มีทักษะในการใช้ชีวิต  มีความสามารถในการปรับตัวเป็นคนดีของสังคม  สามารถดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขนั้น  จำเป็นต้องพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิดและในทุกช่วงอายุ  การเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนเริ่มจากครอบครัวและสถาบันการศึกษา  ซึ่งเป็นแหล่งเรียนรู้ที่บ่มเพาะความรู้ แนวคิด  ทัศนคติ  ค่านิยม  ตลอดจนอุปนิสัยของเด็กและเยาวชน 
นอกจากนั้น  เด็กยังได้เรียนรู้เรื่องราว เหตุการณ์  ปรากฏการณ์ต่างๆ จากชุมชนและสังคม  แต่ปัจจุบันด้วยสภาพการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง กระบวนการเรียนรู้ของเด็กเริ้มเปลี่ยนแปลงไปจากอดีต  สื่อกลายเป็นแหล่งเรียนรู้แหล่งใหม่ที่สามารถกระตุ้นการรับรู้และดึงดูดความสนใจจากเด็กและเยาวชนได้อย่างมาก โดยเฉพาะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีทำให้เกิดสื่อใหม่ๆ มากมาย  โดยเฉพาะอินเตอร์เน็ตที่มีข้อมูลจำนวนมหาศาล เรื่องราวที่เด็กสนใจใคร่รู้  เปิดกว้างให้เด็กเข้าไปค้นหาอย่างอิสระ  ในขณะที่สื่อดั้งเดิม ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ฯลฯ ซึ่งเป็นสื่อที่เข้าถึงได้ง่าย  ก็พัฒนารูปแบบการนำเสนอ  ให้น่าสนใจโดยมีเป้าหมายการนำเสนอในเชิงพาณิชย์มากยิ่งขึ้น  ดังนั้นเนื้อหาการนำเสนอส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นการนำเสนอความบันเทิงในรูปแบบ ต่างๆ ทั้งละคร เพลง เกมโชว์  ข่าวบันเทิงของดารานักร้อง แฟชั่น โฆษณาขายสินค้าและบริการ ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลให้แก่ธุรกิจสื่อและเจ้าของสินค้า
            การเสพข้อมูลข่าวสารจากสื่อโดยขาดการคิด วิเคราะห์ และความรู้เท่าทันสื่อทำให้เด็กและเยาวชน ซึมซับแบบแผนการใช้ชีวิต พฤติกรรม ค่านิยม วัฒนธรรมต่างชาติ กระแสการบริโภคนิยม ส่งผลต่อทัศนคติ   ความคิด และพฤติกรรมของเด็กและเยาวชน  ซึ่งเป็นการเรียนรู้ผ่านสื่อที่ไม่ได้เกิดจากประสบการณ์จริง หรือไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความจริงในสังคม  ซึ่งเราไม่สามารถป้องกันสื่อที่สร้างผลกระทบด้านลบกับชีวิตของเด็กและเยาวชนได้   ขณะเดียวกันสื่อก็สร้างผลกระทบด้านบวกเช่นกัน   สื่อถือเป็นเครื่องมือในการเปิดโลกทัศน์  การเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรมสังคม , รายการข่าว,ความรู้ประวัติศาสตร์ และภาพยนตร์ดี ๆที่ได้รับรางวัลรวมทั้งส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ด้านดนตรีศิลปะ  สื่อยังช่วยในการเข้าถึงข้อมูลข้าวสารที่ทันยุคทันสมัย  ส่งผลให้มีส่วนร่วมทางสังคมเพิ่มมากขึ้น  และให้การรับรู้ถึงสิ่งต่างๆในโลกใบนี้ได้
เด็กและเยาวชนส่วนใหญ่กำลังได้รับผลกระทบทางด้านลบจากสื่อ ๓ ประเด็นหลัก คือ
1. การบริโภคนิยม
2. พฤติกรรมทางเพศ 
3.  ความรุนแรง 


ผลสำรวจผลกระทบจากสื่อ


ผลสำรวจของ Internet Surveys ได้ระบุไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2540 มีจำนวนคนใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก ประมาณ 100 ล้านคน และได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 544.2 ล้านคน ในปี พ.ศ. 2545 และผลสำรวจในปี พ.ศ. 2554 ได้ชี้ให้เห็นว่ามีคนใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกประมาณ 2.095 พันล้านคน หรือเทียบเท่ากับ 30.2% ของประชากรทั่วโลก


  
สำหรับจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย มีการระบุเป็นข้อมูลจากการสำรวจ ดังนี้
ในปี พ.ศ. 2543 มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 1.3 ล้านคน
ในปี พ.ศ. 2545 มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 4.6 ล้านคน
ในปี พ.ศ. 2547 มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 7.0 ล้านคน
ในปี พ.ศ. 2551 มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตจำนวน 11.0 ล้านคน
ซึ่งการสำรวจได้ระบุไว้ว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุ 20 – 29 ปี และผู้ใช้กลุ่มอายุต่ำกว่า 20 ปี เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตเร็วที่สุด
ภาคนักวิชาการได้ระบุไว้ว่า ภัยที่แฝงมากับสื่อออนไลน์ มีมาหลายรูปแบบ อย่างเช่นมาในรูปแบบ
คนแปลกหน้า
เนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
การค้าขายทางออนไลน์
การละเมิดลิขสิทธิ์
การโจมตีและเจาะระบบเครือข่ายด้วยไวรัสคอมพิวเตอร์
การใช้เวลาบนเน็ตมากเกินไป
การติดเกมออนไลน์
มีข้อเท็จจริงจากต่างประเทศได้ระบุไว้ว่า
ใน 5 ของเด็กที่เล่น Chat Room เคยถูกชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์
ใน 10 ของเด็กอายุ 9 ถึง 16 ปีเคยดูสื่อลามกในเน็ต
25% ของเด็กที่ถูกชักชวนให้มีเพศสัมพันธ์กล้าบอกพ่อแม่
ชื่อเหล่านี้ เมื่อหาใน Search Engine อาจนำไปสู่เว็บไซต์ลามก – Disney, Action Man, Barbie, Pokemon, ESPN, Alice, My Little Pony
100,000 คือจำนวนเว็บไซต์ลามกที่พบในปี ค.ศ. 2001
100,000 ล้านบาทต่อปี คือจำนวนเงินที่ถูกใช้จ่ายในการซื้อขายภาพลามกบนอินเทอร์เน็ต
ข้อมูลทางด้าน Chat Room ของเด็กไทย ที่ได้สำรวจโดย ECPAT International ได้ระบุไว้ว่า
ใช้เพื่อหาเพื่อนใหม่ 74%
ใช้หาข้อมูล 44.5%
ใช้หาแฟน 10.7 %
เคยพบกันคนรู้จักทางเน็ตแล้ว 44.8%
อยากไปพบคนที่รู้จักทางเน็ต 70%
ข้อมูลของ ECPAT International ยังได้ระบุว่า:-
เด็ก 50% และเยาวชน 91% มีคนรู้จักบนอินเทอร์เน็ต
เด็ก 39% และเยาวชน 75% มีเพื่อนบนอินเทอร์เน็ต
เด็ก 27% และเยาวชน 55% คุยเรื่องต้องห้าม หรือ ความลับบนเน็ต
เด็ก 21% และเยาวชน 52% ให้ข้อมูลส่วนตัวแก่เพื่อนบนอินเทอร์เน็ต
เด็ก 8% และเยาวชน 16% พบข้อมูลส่วนตัวเคยถูกนำ ไปเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนมากเกิดผลกระทบทางด้านลบตามมา

ที่มา :

ข้อมูลจากงานวิจัยเกี่ยวกับสื่อ



-          สำนักวิจัยเอแบคโพลล์มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ร่วมกับมูลนิธิเครื่อข่ายครอบครัว มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปี ๒๕๔๖ ได้ทำการสำรวจอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ที่มีผลต่อพฤติกรรมเด็ก พบพฤติกรมการดูทีวีของเด็กอายุ ๓ ๑๒ ปี ตามทัศนะของพ่อแม่ / ผู้ปกครองในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑,๔๗๗ ตัวอย่าง พบจำนวนชั่วโมงการดูทีวีต่อวันในวันจันทร์-ศุกร์ และ วันเสาร์-อาทิตย์ จำนวนชั่วโมงดูทีวี เฉลี่ย ๓ ๕ ชม. / วัน ช่วงเวลาที่ดูมากที่สุดคือ จันทร์ ศุกร์ ช่วง๔โมงเย็น๒ ทุ่ม ในวันเสาร์และอาทิตย์ ช่วง ๘ โมงเช้า ถึงเที่ยงเด็กนิยมดูทีวีมากที่สุด พ่อแม่ / ผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ให้ความคิดว่าสื่อมีผลต่อพฤติกรรมลูกหลาน ด้านต่าง ๆ และมีผลเสียต่อเด็กอยู่ในระดับปานกลาง เช่นเดียวกับการทำงานด้านการกลั่นกรองสื่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึง ตัวพ่อแม่ที่ทำหน้าที่กลั่นกรองสื่อให้ลูกอยู่ในระดับปานกลางอีกด้วย ส่วนการจัดประเภทของรายการในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเด็กส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะ สมดีแล้ว

-          มูลนิธิรักษ์เด็กกล่าวถึง เรื่อง โทรทัศน์กับเด็ก ในโครงการยุทธศาสตร์สื่อเด็กมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก(มพด.) ได้กล่าวถึงเรื่องการใช้เวลาของเด็กส่วนใหญ่อยู่กับทีวีมากกว่าการเรียนหนังสือ ในห้องเรียนตลอดทั้งปีเด็กและเยาวชนอายุ ๖ ๒๔ ปีใช้เวลาถึง ๒,๒๓๖ ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่มีเวลาในห้องเรียนเพียง ๑,๖๐๐ ชั่วโมง ใน หนึ่งวันโดยเฉลี่ยเด็กดูทีวีประมาณ ๕ ชั่วโมง

-          ผลวิจัยชี้ว่ามีความสัมพันธ์สูงระหว่างการเสพสื่อที่แสดงความรุนแรงต่อทัศนคติที่เป็นปัญหาของเด็ก 3 ประการคือ การมีทัศนคติที่ก้าวร้าวต่อผู้อื่นหรือต่อต้านสังคม  การเพิกเฉยหรือยอมรับการใช้ความรนแรงแก้ปัญหา  และการเครียดหรือหวาดวิตกต่อการถูกทำร้าย

-          จากงานวิจัยยังพบอีกว่าเด็กกลุ่มเสี่ยงที่จะรับผลจากความรุนแรงในโทรทัศน์ได้มากเป็นพิเศษคือ เด็กที่มีความที่มีปัญหาทางอารมณ์หรือเด็กที่มีปัญหาในด้านการเรียนอยู่แล้ว  ตลอดจนเด็กที่ถูกทารุณกรรมจากครอบครัวหรือมีปัญหาครอบครัวจะมีโอกาสสูงกว่าเด็กทั่วไปในการซึมซับและลอกเลียนความรุนแรงที่เห็นมาใช้ในชีวิตจริง

-          งานวิจัยด้านพัฒนาการของเด็กพบว่า ในช่วงที่เด็กอายุ 1-3 ขวบถ้ามีการดูทีวีมากเกินไปจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับสมาธิในการเรียนเมื่ออายุ 7 ขวบ  และเด็กที่ดูทีวีตั้งแต่ 10 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์จะมีผลกระทบต่อสัมฤทธิผลด้านการอ่านของเด็ก

-          งานวิจัยหลายชิ้นจึงมีข้อเสนอคล้ายๆ กันว่าพ่อแม่ควรจำกัดเวลาการดูโทรทัศน์ของลูกให้มีแค่ 1 - 2 ชั่ว โมงต่อวัน และควรกําหนดรายการโทรทัศน์ที่ลูกจะดูด้วย ซึ่งยังรวมไปถึงการเลือกสื่อในรูปแบบอื่นๆ ที่ล้วนแล้วมีผลต่อการพัฒนาสมองของเด็กทั้งสิ้น  (ศันนีย์ ฉัตรคุปต์, 2543)

-          งานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กในวัย ๐ ๖ ขวบกล่าวถึงการเจริญเติบโตของเซลล์สมองในเด็กแรกเกิดจะมีการเชื่อมต่อของใย ประสาทอยู่ตลอดเวลาที่เด็ก ได้รับการกระตุ้นโดยเฉพาะด้านภาษางานวิจัยสนับสนุนความจริงว่าเด็กที่อายุ ต่ำกว่า ๒ ปี ดูแต่ทีวีซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียวเป็นเวลานาน ตลอด ๖ ๘ ชั่วโมงต่อวันเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางภาษาจะขาดการกระตุ้นใน ขณะนั้นเนื่องจากเด็กขาดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่เด็กจึงไม่ได้เรียนรู้ที่จะ สื่อให้ผู้อื่นเข้าใจตนเองได้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภาพเคลื่อนไหวในทีวีทำให้เด็กขาดสมาธิในการเรียนรู้ สิ่งต่างๆ ได้

-          งานวิจัยประเทศสหรัฐอเมริกาที่มหาวิทยาลัย คอร์เนลล์,มหาวิทยาลัยอินเดียน่า และมหาวิทยาลัยเพอร์เดอร์(Purdue University) ได้ศึกษาความเชื่อมโยงจากการดูทีวีของเด็กอเมริกันว่าเป็นตัวกระตุ้นทำให้ เกิดโรคออติซึมได้

-          ดร. แอริค ซิกมัน ( Dr. Aric Sigman ) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการศึกษาแห่งสหราชอาณาจักร ( Associate Fellow of the British Psychological) ได้ศึกษาผลของทีวีต่อสุขภาพและได้แถลงต่อคณะสมาชิกวุฒิสภาประเทสอังกฤษจัด โดยองค์กรด้านสื่อสารมวลชน Mediawatch – UK มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการดูทีวีเป็นเวลานานมีผลต่อรูปแบบการนอนที่ผิดปกติและลดอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายจนเกิดโรคอ้วนได้


ภัยมืดจากสื่อ "อินเตอร์เน็ต" กับปัญหาทางสังคม


 เด็กไทยกับภัยจากอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตเป็นคลังแห่งข้อมูลและเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารและรับส่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ ทั่วโลก การใช้อินเทอร์เน็ตนั้นก่อประโยชน์มหาศาล แต่ก็แอบแฝงไปด้วยภัยอันตรายต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก   ค่านิยมผิด ๆ ในเรื่องเพศ การล่อลวงในวงสนทนา นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยเรื่องลามก และเรื่องรุนแรงต่าง ๆ ที่ยากต่อการที่จะควบคุมตรวจสอบได้ อาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตเหล่านี้เป็นภัยที่อันตรายมากพอที่จะกำหนดเส้นทางอนาคตของเด็กได้ ดังนั้น ก่อนที่เด็กไทยเราจะตกเป็นเหยื่อของภัยเหล่านี้ พ่อแม่ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจภัยอันตรายต่าง ๆ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกยุคใหม่นี้ เพื่อที่จะรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และปรับตัวเองตั้งรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชาญฉลาด เพื่อช่วยปกป้องและนำพาให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้องไม่ไขว้เขว




อินเทอร์เน็ตอันตรายต่อเด็กอย่างไร
เมื่อพูดถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานของอินเทอร์เน็ตโดยไม่มีการจำกัดขอบเขตหรือดูแลการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็ก  ก็จะมองเห็นปัญหาอย่างมากมาย  ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบอื่นได้ เช่น ภาพความรุนแรงระหว่างเด็กกับอินเทอร์เน็ตในบ้านเราอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีทั้งหลาย หากแต่พิจารณาตามศักยภาพและตัวเลขการใช้อินเทอร์เน็ตหรือการเปิดบริการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่เติบโตขึ้นเรื่อยมาทำให้หลายคนอดเป็นห่วงอันตรายจากอินเทอร์เน็ตที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในหลายรูปแบบ 
อย่างแรก คือภาพหรือข้อมูลที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก เช่น  เว็บลามก  เว็บที่สนับสนุนให้ก่อความรุนแรง หรือ เว็บที่กล่าวถึงยาเสพย์ติด หรือเว็บที่สอนในสิ่งที่ไม่ดี เช่น สอนทำระเบิดขวด เว็บเหล่านี้อาจส่งผลต่อความคิดของเด็ก และส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กในอนาคต (Suler.1999) เช่น กรณีของเด็กในยุโรปเจอเวบไซต์ที่เกี่ยวกับการทำระเบิดขวดแล้วลองทำด้วยตัวเองโดยที่พ่อแม่ไม่ทราบแล้วนำไปโยนเล่น จนเกิดเป็นเหตุสลดใจซึ่งในที่สุดเด็กสารภาพว่านำความรู้มาจากอินเทอร์เน็ตจึงก่อให้เกิดปัญหาตามมา เมื่อเด็กไปเจอกับเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม จึงเป็นเหมือนสะพานนำเด็กไปพบกับบุคคลที่ไม่หวังดีได้ เช่น กรณีของการเล่นแชท  เด็กอาจถูกล่อลวงจากผู้ใหญ่ที่มีความผิดปกติทางจิต หรือเป็นพวกนิยมมีเพศสัมพันธ์กับเด็กเป็นต้น 
อันตรายในลำดับถัดมาพบว่าเด็กในปัจจุบันใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตมากเกินไป ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยตรงแล้วยังเป็นการลดความสัมพันธ์กับสังคมในเวลาเดียวกันโดยเฉพาะการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว เด็กจะหันไปสร้างความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า เป็นความรู้สึกแบบฉาบฉวยและทำให้เด็กไม่กล้าสื่อสารโดยการพูดการออกกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นความพยายามอย่างหนึ่งที่จะสกัดกั้นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก ( Scherer.1997)
อย่างไรก็ตาม การตามจับกุมผู้กระทำผิดทางอินเทอร์เน็ตตามจับกุมได้ยากมาก เพราะไม่สามารถทราบได้เลยว่าคนที่เป็นเจ้าของอยู่ที่ใดและอาจใช้เซิร์ฟเวอร์จากเมืองนอกได้ การหวังพึ่งกฎหมายเพียงอย่างเดียวคงไม่อาจสกัดกั้นได้ จึงมีการออกเป็นข้อห้ามให้เด็กท่องก่อนการใช้อินเทอร์เน็ต เช่น ห้ามบอกชื่อที่อยู่หรือข้อมูลของตัวเด็กให้กับคนในแชท นอกจากขออนุญาตจากพ่อแม่ก่อนห้ามให้เบอร์บัตรเครดิต หรือเลขที่บัญชีเงินฝากห้ามให้พาสเวิร์ด ห้ามโต้ตอบกับข้อความหยาบคายและที่สำคัญห้ามไปพบกับคนที่นัดหมายมาจากการแชท เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องห้ามเด็กเพราะว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ไม่เคยเล่นอินเทอร์เน็ตเชื่อว่าสิ่งที่คู่สนทนาบอกนั้นเป็นความจริง( ศุภเดช สุทธิพงศ์คณาสัย:2537) 
ความเสี่ยงบนโลกไซเบอร์(ศรีดา.2544)
ถึงแม้อินเทอร์เน็ตจะมีประโยชน์มหาศาล แต่ในทางกลับกัน ก็มีความเสี่ยงทุกครั้งเมื่อลูกหลานของท่านออนไลน์ เราควรรู้ถึงความเสี่ยงเหล่านี้แต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันลูกหลานจากภัยอินเทอร์เน็ตที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ความเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่
เปิดรับสิ่งที่ไม่เหมาะสม เมื่อเข้าไปในบางเว็บไซต์ มีความเป็นไปได้ที่จะเด็กจะเจอกับสิ่งที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น โฆษณาชวนเชื่อ ข้อความรุนแรงในเว็บบอร์ด เรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์ภาพอนาจาร ลิงค์ไปยังเว็บไซต์ลามก รวมไปถึงกิจกรรมมอมเมาเยาวชน และสิ่งผิดกฎหมายทั้งหลายการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล และการทำร้ายร่างกาย เมื่อเกิดการพูดคุย หรือการแชท (Chat) เกิดขึ้น เด็กอาจจะถูกล่อหลอกให้บอกข้อมูลส่วนตัวทั้งของตนเอง และของครอบครัว ซึ่งมิจฉาชีพจะนำไปหาผลประโยชน์ และอาจก่อความเสียหายร้ายแรงได้ หรืออีกในกรณี เด็กอาจจะถูกชักชวนให้ไปนัดพบกับเพื่อนในอินเทอร์เน็ต อาจเกิดการล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายได้ และเกิดอาชญากรรมตามมาถ้อยคำรุนแรง มักจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กเข้าไปแชทกับคนแปลกหน้า หรือเมื่อเด็กเข้าไปอ่านข้อความ และแสดงความคิดเห็นในเวบบอร์ดเวบบอร์ดส่วนใหญ่จะมีระบบกรองคำหยาบอยู่แล้ว แต่ก็มีเวบบอร์ดอีกไม่น้อยเช่นกัน ที่สามารถพิมพ์คำหยาบลงไปได้ ส่วนใหญ่เว็บบอร์ดที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้จะแฝงตัวอยู่ในพวกเว็บไซต์ใต้ดิน หรือเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรุนแรง และอนาจารโดยเฉพาะ ซึ่งเด็กอาจจะพลัดหลงเข้าไปในเว็บไซต์ประเภทนี้ได้สิ่งผิดกฎหมาย และการเงิน มีความเป็นไปได้ที่เด็กอาจจะถูกเกลี้ยกล่อมให้บอกหมายเลขบัตรเครดิตของผู้ปกครอง ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ หรือแม้กระทั่งถูกชักจูงให้เข้าขบวนการมิจฉาชีพ ทำสิ่งผิดกฎหมาย โดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ
ยาเสพติด ความสามารถในการหาข้อมูลเกือบทุกอย่างได้จากอินเทอร์เน็ต มันง่ายจนหลายคนคิดไม่ถึงเลยทีเดียว เช่น เด็กสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ตนสนใจได้โดยง่าย   หรือหาอาวุธต่างๆ ได้ บางเว็บไซต์จะมีเนื้อหาสนับสนุนเรื่องยาเสพติด บุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งชักชวนเด็กให้คล้อยตามได้ง่าย
การพนัน เว็บไซต์เกี่ยวกับการพนันมีมากมาย ทั้งที่เล่นเพื่อความสนุก และเล่นพนันด้วยเงินจริง เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะชักชวนให้ผู้เล่นใช้บัตรเครดิต หรือเช็ค ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เกิดการโจรกรรมหมายเลขบัตรเครดิตได้
ความเสี่ยงทั้งหลายที่ต้องเผชิญโดยไม่ได้ต้องการ เราสามารถป้องกันได้ เพียงดูแล ให้คำแนะนำในการเล่นอินเทอร์เน็ตอย่างถูกวิธีให้แก่บุตรหลาน แต่ไม่ควรห้ามเด็กไม่ให้ใช้อินเทอร์เน็ตเลย เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งการเรียนรู้สำหรับเด็ก ถ้าเราสอนให้พวกเค้ารู้จักใช้อย่างถูกวิธีทั้งรวมไปถึงการฝึกฝนให้เด็ก ๆ รู้จัดจัดสรรเวลาในด้านต่าง ให้เป็นประโยชน์มองเห็นคุณค่าของเวลาที่หมดไปโดยสูญเปล่าว่า เวลาเหล่านี้สามารถนำไปพัฒนาตนเองให้เก่งได้เพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้กับตนเอง
โลกยุคอินเทอร์เน็ต พ่อแม่จะปกป้องลูกอย่างไร( ศรีดา ตันทะอธิพานิช.2544)
พ่อแม่ยุคใหม่ก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมในปัจจุบัน ดังนี้
1. เป็นผู้ที่เรียนรู้อยู่เสมอ  พ่อแม่จำเป็นที่จะต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างทันต่อเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในยุคใหม่ หรือการปรับเปลี่ยนในด้านความคิด ค่านิยมหรือกระแสต่าง ๆ ที่เข้ามาในสังคม ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบมาสู่ลูกของเราได้ ดังนั้นเองพ่อแม่จึงควรที่จะเป็นผู้ที่เรียนรู้อยู่เสมอ 
2. ติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ อยู่เสมอ   เพื่อที่จะสามารถ "รู้เท่าทัน" สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมลูกให้ใช้ประโยชน์ จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้มากที่สุดและเพื่อที่จะสามารถปกป้องสิ่งต่าง ๆ ที่อาจจะเข้ามาทำร้ายหรือเป็นอันตรายต่อลูกของเราโดยพ่อแม่สามารถที่จะติดตามข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับอันตรายในรูปแบบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงแนวทางในการป้องกันแก้ไข ได้จากหลายช่องทางเช่นจากสื่อโทรทัศน์วิทยุ หนังสือพิมพ์วารสารต่าง ๆ อินเทอร์เน็ต รวมถึงการรับข่าวสารข้อมูลจากบุคคลที่รู้จัก ครูอาจารย์ หรือจากข่าวของทางโรงเรียนที่ลูกกำลังศึกษาอยู่เช่น ถ้าพ่อแม่มีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตย่อมสามารถตรวจสอบว่าลูกใช้คอมพิวเตอร์อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดหรือไม่สามารถแนะนำลูกในการค้นหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ สามารถติดตั้งโปรแกรมเพื่อตรวจสอบและกลั่นกรองเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมไม่ให้เข้ามาขณะที่ลูกใช้อินเทอร์เน็ตอยู่ สามารถรู้เท่าทันและป้องกันลูกจากภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทางอินเทอร์เน็ตได้
3. เรียนรู้ที่จะรู้จักลูกของตนเอง  วัยรุ่นมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย และอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง ขึ้นลงได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งความต้องการในด้านต่าง ๆ ของลูกวัยรุ่น เช่น ความอยากรู้อยากลอง อยากได้อยากมีในสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการยอมรับในหมู่เพื่อน ความต้องการที่จะเป็นที่สนใจในหมู่เพื่อนต่างเพศ ซึ่งธรรมชาติของวัยรุ่นนี้เองที่ทำให้ตกเป็นเหยื่อในการล่อลวงต่าง ๆ ได้โดยง่าย พ่อแม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจ รู้จักลูกของตนมากยิ่งขึ้นในพฤติกรรมต่าง ๆ ที่แสดงออกมาและสามารถที่จะป้องกันปัญหาและช่วยเหลือลูกได้อย่างทันท่วงที โดยพ่อแม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้จากหนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับการพัฒนาการของวัยรุ่น หรือขอคำปรึกษาจากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในด้านการศึกษาพฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นโดยตรง เพื่อช่วยให้พ่อแม่รู้เท่าทันและสามารถแนะนำลูกในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พร้อมกับสามารถปกป้องลูกของตนจากภัยอันตรายต่าง ๆ ที่แฝงเข้ามาได้
4. เป็นผู้ที่ปลูกฝังความคิดและทัศนคติที่ถูกต้องให้แก่ลูกก่อนที่พ่อแม่จะตัดสินใจเชื่อในสิ่งใด หรือรับเอาความคิดใด ๆ เข้ามา ต้องคิดให้รอบคอบอย่างสมเหตุสมผลก่อน ในสิ่งที่ได้รับมาว่าเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วจริงหรือไม่เพื่อสอนลูกให้เป็นคนที่มีเหตุผลและรู้จักที่จะคิดอย่างมีวิจารณญาณในการแยกแยะที่จะเลือกรับในสิ่งที่ดี และปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ดี เพื่อไม่ให้ถูกกลืนไปกับกระแสค่านิยมต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาได้โดยง่าย อาทิ ค่านิยมในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันก่อนแต่งงาน เราอาจคิดว่าเป็นวิธีการที่ดีมีประโยชน์เพราะเป็นการทดลองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันก่อน หากเข้ากันไม่ได้ทั้งคู่สามารถจะเลิกรากันไปได้โดยง่ายไม่ต้องมีพันธะอะไรต่อกัน แต่ถ้าหากเราลองคิดอย่างมีวิจารณญาณแล้วจะพบว่าการอยู่ร่วมกันก่อนแต่งไม่ได้ก่อให้เกิดความสุขใด ๆ เลยเพราะเป็นการอยู่ร่วมกันด้วยความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจ มีแต่ความวิตกกังวลกลัวว่าอีกฝ่ายจะจากไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ายังอยู่ในวัยเรียนทั้งคู่ และถ้าพลาดเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมา อนาคตในการเรียนต่อก็มีอันต้องสูญหายไปอย่างแน่นอน
5. เป็นผู้ที่ให้ความรักและความเอาใจใส่ห่วงใยลูกอยู่เสมอ  โดยทั่วไปเมื่อลูกมีพัฒนาการก้าวเข้าสู่วัยรุ่น ปัญหาที่พบมักจะเป็นในเรื่องของการเกิดช่องว่างในความรักความเข้าใจและช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการรับอิทธิพลต่าง ๆ ในโลกที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมากมายก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นระหว่างวิถีชีวิตวัยรุ่นยุคก่อน กับวิถีชีวิตของเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้ ซึ่งความแตกต่างอย่างมากนี้เองอาจส่งผลให้ช่องว่างในความเข้าใจระหว่างพ่อแม่และลูกวัยรุ่นที่มักเป็นปัญหาที่สะสมมาอยู่ก่อนแล้วถูกทำให้ขยายห่างมากยิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้นเองเพื่อการลดช่องว่างที่เกิดขึ้นพ่อแม่จึงควรที่จะทำความเข้าใจในตัวลูกให้มาก
6. มีเวลาให้กับลูกอย่างเฉพาะเจาะจง พ่อแม่จำเป็นต้องมีเวลาใกล้ชิดลูกอยู่เสมอ ในการพูดคุย การปรึกษาหารือ ให้ลูกรู้สึกว่าตนเองเป็นคนพิเศษของพ่อแม่ โดยตระหนักว่าแม้ว่าลูกจะเติบโตเป็นวัยรุ่นแต่เขายังคงมีความต้องการในความรัก ความห่วงใยเอาใจใส่และการชี้ทิศนำทางจากพ่อแม่อยู่เสมอ พ่อแม่จึงควรมีเวลาให้กับลูกอย่างเฉพาะเจาะจง 
7. เปิดใจในการรับฟังความคิดเห็นของลูก เนื่องจากลูกในวัยรุ่นมีความสามารถที่จะเข้าใจในการใช้เหตุผลต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง ดังนั้นในการพูดคุยกับลูก พ่อแม่ไม่ควรใช้อารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น เช่น การเอะอะโวยวายอาละวาด แสดงอาการโกรธเกรี้ยวไม่พอใจในการกระทำของลูก เพราะการแสดงออกเช่นนี้จะทำให้ลูกสูญเสียความไว้วางใจที่ลูกเคยมีในตัวของพ่อแม่ เพราะคิดว่าพ่อแม่ไม่รักและไม่เข้าใจ เช่น ในกรณีที่ลูกมีรสนิยมการแต่งตัวที่ดูแปลกประหลาด ตามแฟชั่น ใส่เสื้อเกาะอก หรือการย้อมผมสีแปลก ๆ เป็นต้นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ พูดคุยกับลูกด้วยความเข้าใจในสภาพที่เขาเป็น ให้ลูกสามารถที่จะสัมผัสในความรักและความห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อลูก แล้วจึงค่อยทำการชี้แจงในสิ่งที่ลูกทำพร้อมกับฝึกให้ลูกเป็นคนที่รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล เพื่อลูกจะได้สามารถแยกแยะที่จะเลือกรับในสิ่งที่ดีและปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ดี เพื่อไม่ให้ถูกกลืนไปกับกระแสค่านิยมต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาได้โดยง่าย เช่น ชี้แจงให้ลูกฟังว่าการใส่เสื้อผ้าสายเดี่ยวนั้นทำให้เสี่ยงต่ออันตรายจากภัยข่มขืนได้ หรือการแต่งตัวที่แปลกประหลาดผิดสถานที่ผิดกาลเทศะอาจทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือและสูญเสียโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต
8. หมั่นสังเกตและเอาใจใส่ในเรื่องการใช้เวลาของลูกอยู่เสมอ    พ่อแม่ไม่ควรที่จะปล่อยปละละเลยลูกในการใช้เวลาทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยที่พ่อแม่ไม่รู้ว่าลูกของตนกำลังทำอะไรอยู่หรือออกไปที่ไหนกับใคร โดยอาจให้เหตุผลว่าลูกโตแล้วหรือไม่อยากที่จะละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูก เนื่องจากเด็กเป็นวัยที่ถูกล่อลวงได้โดยง่าย ซึ่งอาจเกิดอันตรายที่เราไม่คาดคิดกับลูกได้ เช่น ภัยจากยาเสพติด การถูกล่อลวงทางเพศ ถึงแม้ลูกจะอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปที่ไหนก็ตามแต่ภัยอันตรายต่าง ๆ เหล่านี้สามารถที่จะแฝงมาในรูปแบบที่เราคิดไม่ถึงได้เช่น ทางอินเทอร์เน็ต สื่อวิทยุ โทรทัศน์ หรือแม้กระทั่งหนังสือการ์ตูนบางประเภทที่แฝงไว้ด้วยเรื่องของเพศและความรุนแรงต่าง ๆ ดังนั้นเองพ่อแม่จึงควรที่จะหมั่นสังเกตและเอาใจใส่ในเรื่องการใช้เวลาของลูกอยู่เสมออย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะสามารถป้องกันอันตรายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกได้อย่างทันท่วงทีจากบทบาทของความเป็นพ่อแม่ที่แต่เดิมนับว่าหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว เมื่อเข้าสู่ในยุคสมัยใหม่พ่อแม่ต้องแสดงบทบาทที่หนักและเหน็ดเหนื่อยกว่าเดิมอีกหลายเท่า ไม่ว่าจะต้องพัฒนาตัวเองเป็นผู้ที่กระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ การที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการคิดอย่างรอบคอบและมีวิจารณญาณมากยิ่งขึ้นในการรับข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ การที่ต้องเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์และมองการณ์ไกลวางแผนอนาคตเผื่อให้ลูก หรือการที่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรักความอดทนและเข้าใจจิตใจภายในของลูกอยู่เสมอ(สุพัตรา สุภาพ.2545)
สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำทั้งหมดนี้ เพื่อที่จะสามารถสร้างชีวิตของลูกให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่นี้ได้ และเพื่อที่จะปกป้องดูแลและป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ ไม่ให้เข้ามาทำร้ายลูกได้นั่นเอง

 ที่มา :

ผลกระทบของ..สื่อมวลชนต่อเด็ก


            คงไม่ปฏิเสธว่า สื่อมวลชนมีอิทธิพลอย่างรุนแรงต่อกระบวนการเรียนรู้ ความคิดเห็น ทัศนคติ การพัฒนาทางบุคลิกภาพและค่านิยมทางวัฒนธรรมของเด็กๆ มีทั้งด้านที่เป็นคุณและโทษ เพราะสื่อมวลชนแทบทุกสาขาจะมีลักษณะเสรีและเปิดกว้างอย่างไร้ขอบเขตจำกัด ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ใหญ่ยุคนี้ต้องเพิ่มความตระหนักและหาทางป้องกันอย่างรอบคอบ พึงสำนึกในความรับผิดชอบมากขึ้นที่จะสอนให้เด็กรู้จักเลือกรับสื่อที่ดีด้วยตัวเขาเอง
ผลกระทบที่เด็กได้รับ
            ด้านดี
               - เด็กจะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดการเรียนรู้ด้านสังคมอย่างกว้างไกล
               - มีทักษะทางเทคโนโลยีต่างๆ ที่อาจจะนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
            ด้านลบ
               - ก่อให้เกิดปัญหาต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กได้หลายประการ ดังนี้
ด้านโภชนาการและสุขภาพกาย
                เด็กมีแนวโน้มจะเป็นโรคอ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่ชอบดูโทรทัศน์หรือวิดีโอจนติด มักจะไม่สนใจรับประทานอาหารหรือหากจะรับประทานก็เป็นขนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ จนเด็กหลายคนติดนิสัยกินจุบจิบ อ้วนแต่ไม่แข็งแรง และมีปัญหาฟันผุ
                เด็กมีปัญหาเรื่องสายตาเพิ่มขึ้นจากการดูโทรทัศน์ วิดีโอ หรือการเล่นวิดีโอเกมในระยะใกล้เป็นเวลานาน มีผลทำให้สายตาสั้นได้ง่าย ทำให้เด็กเล็กๆ ต้องใส่แว่นแต่อายุน้อยๆ โดยไม่จำเป็น และเด็กบางคนอาจพัฒนาไปสู่ปัญหาทางบุคลิกภาพในระยะยาว
                การฟังวิทยุหรือดูโทรทัศน์ด้วยเสียงที่ดังเกินไป อาจจะส่งผลให้ประสาทการได้ยินถูกกระทบกระเทือนได้
                การดูโทรทัศน์เป็นเวลานานติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายและประสาททั่วไปเครียด เพราะขณะดูและมีการกดรีโมตเปลี่ยนช่องไปมาตลอดเวลา จะทำให้ระบบการทำงานของสมองถูกกระตุ้นให้ต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
ด้านพฤติกรรม
                พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง เด็กเล็กๆ เป็นวัยที่กำลังเลียนแบบ ยิ่งพบเห็นสื่อที่แสดงถึงความก้าวร้าวรุนแรง ใช้แต่อารมณ์และมุ่งแต่จะเอาชนะเป็นหลัก สภาพเช่นนี้กลายเป็นตัวหล่อหลอมพฤติกรรมให้เด็กจดจำและกระทำตาม จนในที่สุดอาจกลายเป็นพฤติกรรมประจำตัวของเด็กไป
                เด็กขาดพัฒนาการทางสังคม หากดูโทรทัศน์หรือเล่นวิดีโอเกมโดยไม่ควบคุมเรื่องเวลา เด็กจะขาดการเล่นรวมหมู่กับเพื่อนๆ ขาดทักษะในการอยู่ร่วมกัน การปรับตัวในสังคมจะไม่มี เพราะเด็กจะจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ จนปฏิเสธเรื่องราวต่างๆ รอบตัว
                บ่มเพาะนิสัยรักสนุก สบาย คิดว่าได้อะไรง่ายๆ จากเกมการเสี่ยงโชค ขาดการเห็นคุณค่าของการทำงาน เพราะภาพความสนุกสนานที่ได้จากเกมจะเร้าใจให้สนุก มันในอารมณ์ มากกว่าการได้เห็นภาพที่เป็นจริงจากการทำงาน
                การใช้จ่ายแบบบริโภคนิยม เพราะอิทธิพลของการโฆษณาสินค้าในสื่อ ซึ่งการโฆษณาบางอย่างเกินความจริง เด็กขาดการวิเคราะห์ จำแนก เห็นแต่ความตื่นตาตื่นใจ และมุ่งหวังจะได้สินค้านั้น ยิ่งได้รับการตามใจจากผู้ปกครอง ก็ยิ่งเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ผิดในระยะยาว
                เด็กอาจตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาสินค้ามากขึ้น เด็กๆ ถูกชักนำเข้าสู่วงการโฆษณาตั้งแต่เล็กๆ สูงมาก ซึ่งบางทีเด็กได้รับบทบาทที่ไม่เหมาะสมตามวัย โดยนักวางแผนโฆษณาบางรายจะเน้นให้เด็กตอบสนองเนื้อหาของตัวสินค้าเป็นหลัก โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบทางด้านจิตใจ สติปัญญาที่เด็กพึงได้รับ
ด้านสติปัญญา
                เด็กจะเผชิญกับความเครียดมากขึ้น จากข่าวสารอันรวดเร็วที่อยู่รอบตัวเด็ก หรือบางครั้งก็เป็นนามธรรมเกินกว่าที่เด็กจะเข้าใจ เด็กสามารถรับรู้ข่าวสารได้เพียงบางส่วนเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ และคุณครูจึงควรทำหน้าที่เป็นผู้ย่อยข่าวสารนั้นๆ ให้แก่เด็กๆ โดยเลือกให้ตามความสนใจ และเหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เด็กอย่างแท้จริง
                เด็กจะมีลักษณะคิดวิเคราะห์น้อยลง โดยเฉพาะธรรมชาติของสื่อจะมีการนำเสนออย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถเปิดช่วงเวลาให้เด็กได้หยุดคิดเพื่อ    ซึมซาบสาระมากนัก ยิ่งมีการกดรีโมตไปมา ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่ได้เห็นมาก แต่ไม่เข้าใจมากนัก กลายเป็นความรู้ที่ผิวเผิน ขาดการสืบเนื่องทางความคิด และเมื่อเป็นเช่นนี้นานไปจะขาดการใช้เหตุผลและสติปัญญา
                เด็กจะอ่านหนังสือน้อยลง เพราะสื่อสมัยนี้มีลักษณะเป็นการสื่อสารสองทาง ทำให้น่าสนใจกว่า เมื่ออ่านหนังสือน้อยลงมีผลกระทบให้เด็กขาดการพัฒนาในเรื่องภาษา เด็กอาจจะได้รับรู้คำศัพท์สำนวนภาษาใหม่ๆ จากภาษาพูด แต่จะไม่เข้าใจความหมายและวิธีใช้ที่ถูกต้องตามกาลเทศะ
ด้านวัฒนธรรม
                จะส่งผลให้เด็กๆ รับเอาวัฒนธรรมโดยไม่รู้จักเลือก เช่น การแต่งกาย พฤติกรรมการบริโภค ยิ่งอิทธิพลการโฆษณายึดหลักการเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วโลก เด็กๆ จะยิ่งถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นอเมริกันชนน้อยๆ แต่ด้อยคุณภาพได้ง่าย
                เด็กๆ ในชนบทจะถูกค่านิยมแบบเมืองโน้มนำให้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต โดยเฉพาะเด็กไทยรุ่นหน้าที่เติบโตขึ้นมาภายใต้วัฒนธรรมใหม่ จะกลับกลายเป็น      พลเมืองที่มีแนวโน้มอ่อนแอและไร้ความสำนึกในความเป็นชาติไทย
พ่อแม่ คือ เกราะกำลัง
               ผลกระทบของสื่อมวลชนดังกล่าว ส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่ คุณครู และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายควรให้ความเอาใจใส่กับเด็กมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะความเป็นห่วงของคุณพ่อคุณแม่จะเป็นเกราะกำบังอันเข้มแข็งที่จะปกป้องลูกจากสื่อที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
                การคิดค้นหาวิธีเลือกสื่อที่เหมาะสมให้กับเด็กๆ โดยการพูดหรือ  โน้มน้าวให้เด็กสนุกที่จะดูรายการ อ่านหนังสือที่น่าสนใจมากกว่าบอกกล่าวหรือโยนหนังสือให้ลูกเฉยๆ โดยขาดแรงจูงใจและเทคนิคการเร้าทางบวก
                ตั้งกฎเกณฑ์และกำหนดเวลาที่เหมาะสมร่วมกันในบ้าน เพื่อแบ่งสรรเวลาในการดูโทรทัศน์ และให้เด็กได้ทำกิจกรรมอื่นบ้าง
                เป็นแบบอย่างด้วยการลดเวลาดูโทรทัศน์ลงบ้าง และหากิจกรรมอื่นที่น่าสนใจทำ เพื่อให้เด็กได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
                ในช่วงที่ดูโทรทัศน์ด้วยกัน ควรช่วยย่อยข้อมูลให้เด็กด้วยการสรุปให้ฟังเป็นช่วงๆ หรือตั้งคำถามให้เด็กคิดและตอบ เพื่อฝึกให้ได้คิดวิเคราะห์
                จูงใจให้เด็กอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะความรู้จากการอ่านจะนำไปสู่การเรียนรู้ทั้งในเชิงสติปัญญา และพัฒนาการทางภาษา
               สิ่งที่ควรจะตระหนักในขณะนี้ คือ สื่อมวลชนมาแรง ในขณะที่ครอบครัวอ่อนแอลง พ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูก และมักจะทิ้งลูกไว้ภายใต้อิทธิพลของสื่อโดยไม่ตั้งใจ ฉะนั้นหน้าที่ที่จะดึงลูกออกจากโลกที่สับสนของข่าวสารข้อมูล จึงเป็นของพ่อแม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยไม่ควรฝากความหวังไว้ที่ผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ควรหันกลับมาช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกๆ ได้ตั้งแต่วันนี้ที่บ้านของคุณ..