วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ผลกระทบของ..สื่อมวลชนต่อเด็ก


            คงไม่ปฏิเสธว่า สื่อมวลชนมีอิทธิพลอย่างรุนแรงต่อกระบวนการเรียนรู้ ความคิดเห็น ทัศนคติ การพัฒนาทางบุคลิกภาพและค่านิยมทางวัฒนธรรมของเด็กๆ มีทั้งด้านที่เป็นคุณและโทษ เพราะสื่อมวลชนแทบทุกสาขาจะมีลักษณะเสรีและเปิดกว้างอย่างไร้ขอบเขตจำกัด ซึ่งเป็นประเด็นสำคัญที่ผู้ใหญ่ยุคนี้ต้องเพิ่มความตระหนักและหาทางป้องกันอย่างรอบคอบ พึงสำนึกในความรับผิดชอบมากขึ้นที่จะสอนให้เด็กรู้จักเลือกรับสื่อที่ดีด้วยตัวเขาเอง
ผลกระทบที่เด็กได้รับ
            ด้านดี
               - เด็กจะได้รับความสนุกสนานเพลิดเพลิน เกิดการเรียนรู้ด้านสังคมอย่างกว้างไกล
               - มีทักษะทางเทคโนโลยีต่างๆ ที่อาจจะนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
            ด้านลบ
               - ก่อให้เกิดปัญหาต่อพัฒนาการด้านต่างๆ ของเด็กได้หลายประการ ดังนี้
ด้านโภชนาการและสุขภาพกาย
                เด็กมีแนวโน้มจะเป็นโรคอ้วนมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กที่ชอบดูโทรทัศน์หรือวิดีโอจนติด มักจะไม่สนใจรับประทานอาหารหรือหากจะรับประทานก็เป็นขนมที่มีคุณค่าทางโภชนาการต่ำ จนเด็กหลายคนติดนิสัยกินจุบจิบ อ้วนแต่ไม่แข็งแรง และมีปัญหาฟันผุ
                เด็กมีปัญหาเรื่องสายตาเพิ่มขึ้นจากการดูโทรทัศน์ วิดีโอ หรือการเล่นวิดีโอเกมในระยะใกล้เป็นเวลานาน มีผลทำให้สายตาสั้นได้ง่าย ทำให้เด็กเล็กๆ ต้องใส่แว่นแต่อายุน้อยๆ โดยไม่จำเป็น และเด็กบางคนอาจพัฒนาไปสู่ปัญหาทางบุคลิกภาพในระยะยาว
                การฟังวิทยุหรือดูโทรทัศน์ด้วยเสียงที่ดังเกินไป อาจจะส่งผลให้ประสาทการได้ยินถูกกระทบกระเทือนได้
                การดูโทรทัศน์เป็นเวลานานติดต่อกัน จะทำให้ร่างกายและประสาททั่วไปเครียด เพราะขณะดูและมีการกดรีโมตเปลี่ยนช่องไปมาตลอดเวลา จะทำให้ระบบการทำงานของสมองถูกกระตุ้นให้ต้องปรับเปลี่ยนตลอดเวลา
ด้านพฤติกรรม
                พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง เด็กเล็กๆ เป็นวัยที่กำลังเลียนแบบ ยิ่งพบเห็นสื่อที่แสดงถึงความก้าวร้าวรุนแรง ใช้แต่อารมณ์และมุ่งแต่จะเอาชนะเป็นหลัก สภาพเช่นนี้กลายเป็นตัวหล่อหลอมพฤติกรรมให้เด็กจดจำและกระทำตาม จนในที่สุดอาจกลายเป็นพฤติกรรมประจำตัวของเด็กไป
                เด็กขาดพัฒนาการทางสังคม หากดูโทรทัศน์หรือเล่นวิดีโอเกมโดยไม่ควบคุมเรื่องเวลา เด็กจะขาดการเล่นรวมหมู่กับเพื่อนๆ ขาดทักษะในการอยู่ร่วมกัน การปรับตัวในสังคมจะไม่มี เพราะเด็กจะจดจ่ออยู่กับสิ่งเหล่านี้ จนปฏิเสธเรื่องราวต่างๆ รอบตัว
                บ่มเพาะนิสัยรักสนุก สบาย คิดว่าได้อะไรง่ายๆ จากเกมการเสี่ยงโชค ขาดการเห็นคุณค่าของการทำงาน เพราะภาพความสนุกสนานที่ได้จากเกมจะเร้าใจให้สนุก มันในอารมณ์ มากกว่าการได้เห็นภาพที่เป็นจริงจากการทำงาน
                การใช้จ่ายแบบบริโภคนิยม เพราะอิทธิพลของการโฆษณาสินค้าในสื่อ ซึ่งการโฆษณาบางอย่างเกินความจริง เด็กขาดการวิเคราะห์ จำแนก เห็นแต่ความตื่นตาตื่นใจ และมุ่งหวังจะได้สินค้านั้น ยิ่งได้รับการตามใจจากผู้ปกครอง ก็ยิ่งเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ผิดในระยะยาว
                เด็กอาจตกเป็นเหยื่อของการโฆษณาสินค้ามากขึ้น เด็กๆ ถูกชักนำเข้าสู่วงการโฆษณาตั้งแต่เล็กๆ สูงมาก ซึ่งบางทีเด็กได้รับบทบาทที่ไม่เหมาะสมตามวัย โดยนักวางแผนโฆษณาบางรายจะเน้นให้เด็กตอบสนองเนื้อหาของตัวสินค้าเป็นหลัก โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบทางด้านจิตใจ สติปัญญาที่เด็กพึงได้รับ
ด้านสติปัญญา
                เด็กจะเผชิญกับความเครียดมากขึ้น จากข่าวสารอันรวดเร็วที่อยู่รอบตัวเด็ก หรือบางครั้งก็เป็นนามธรรมเกินกว่าที่เด็กจะเข้าใจ เด็กสามารถรับรู้ข่าวสารได้เพียงบางส่วนเท่านั้น คุณพ่อคุณแม่ และคุณครูจึงควรทำหน้าที่เป็นผู้ย่อยข่าวสารนั้นๆ ให้แก่เด็กๆ โดยเลือกให้ตามความสนใจ และเหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่เด็กอย่างแท้จริง
                เด็กจะมีลักษณะคิดวิเคราะห์น้อยลง โดยเฉพาะธรรมชาติของสื่อจะมีการนำเสนออย่างต่อเนื่อง ทำให้ไม่สามารถเปิดช่วงเวลาให้เด็กได้หยุดคิดเพื่อ    ซึมซาบสาระมากนัก ยิ่งมีการกดรีโมตไปมา ทำให้เด็กมีแนวโน้มที่ได้เห็นมาก แต่ไม่เข้าใจมากนัก กลายเป็นความรู้ที่ผิวเผิน ขาดการสืบเนื่องทางความคิด และเมื่อเป็นเช่นนี้นานไปจะขาดการใช้เหตุผลและสติปัญญา
                เด็กจะอ่านหนังสือน้อยลง เพราะสื่อสมัยนี้มีลักษณะเป็นการสื่อสารสองทาง ทำให้น่าสนใจกว่า เมื่ออ่านหนังสือน้อยลงมีผลกระทบให้เด็กขาดการพัฒนาในเรื่องภาษา เด็กอาจจะได้รับรู้คำศัพท์สำนวนภาษาใหม่ๆ จากภาษาพูด แต่จะไม่เข้าใจความหมายและวิธีใช้ที่ถูกต้องตามกาลเทศะ
ด้านวัฒนธรรม
                จะส่งผลให้เด็กๆ รับเอาวัฒนธรรมโดยไม่รู้จักเลือก เช่น การแต่งกาย พฤติกรรมการบริโภค ยิ่งอิทธิพลการโฆษณายึดหลักการเป็นหนึ่งเดียวกันทั่วโลก เด็กๆ จะยิ่งถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นอเมริกันชนน้อยๆ แต่ด้อยคุณภาพได้ง่าย
                เด็กๆ ในชนบทจะถูกค่านิยมแบบเมืองโน้มนำให้เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต โดยเฉพาะเด็กไทยรุ่นหน้าที่เติบโตขึ้นมาภายใต้วัฒนธรรมใหม่ จะกลับกลายเป็น      พลเมืองที่มีแนวโน้มอ่อนแอและไร้ความสำนึกในความเป็นชาติไทย
พ่อแม่ คือ เกราะกำลัง
               ผลกระทบของสื่อมวลชนดังกล่าว ส่งผลให้คุณพ่อคุณแม่ คุณครู และผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหลายควรให้ความเอาใจใส่กับเด็กมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะความเป็นห่วงของคุณพ่อคุณแม่จะเป็นเกราะกำบังอันเข้มแข็งที่จะปกป้องลูกจากสื่อที่ไม่พึงประสงค์ได้ด้วยวิธีต่างๆ ดังนี้
                การคิดค้นหาวิธีเลือกสื่อที่เหมาะสมให้กับเด็กๆ โดยการพูดหรือ  โน้มน้าวให้เด็กสนุกที่จะดูรายการ อ่านหนังสือที่น่าสนใจมากกว่าบอกกล่าวหรือโยนหนังสือให้ลูกเฉยๆ โดยขาดแรงจูงใจและเทคนิคการเร้าทางบวก
                ตั้งกฎเกณฑ์และกำหนดเวลาที่เหมาะสมร่วมกันในบ้าน เพื่อแบ่งสรรเวลาในการดูโทรทัศน์ และให้เด็กได้ทำกิจกรรมอื่นบ้าง
                เป็นแบบอย่างด้วยการลดเวลาดูโทรทัศน์ลงบ้าง และหากิจกรรมอื่นที่น่าสนใจทำ เพื่อให้เด็กได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
                ในช่วงที่ดูโทรทัศน์ด้วยกัน ควรช่วยย่อยข้อมูลให้เด็กด้วยการสรุปให้ฟังเป็นช่วงๆ หรือตั้งคำถามให้เด็กคิดและตอบ เพื่อฝึกให้ได้คิดวิเคราะห์
                จูงใจให้เด็กอ่านหนังสือมากขึ้น เพราะความรู้จากการอ่านจะนำไปสู่การเรียนรู้ทั้งในเชิงสติปัญญา และพัฒนาการทางภาษา
               สิ่งที่ควรจะตระหนักในขณะนี้ คือ สื่อมวลชนมาแรง ในขณะที่ครอบครัวอ่อนแอลง พ่อแม่ไม่มีเวลาให้กับลูก และมักจะทิ้งลูกไว้ภายใต้อิทธิพลของสื่อโดยไม่ตั้งใจ ฉะนั้นหน้าที่ที่จะดึงลูกออกจากโลกที่สับสนของข่าวสารข้อมูล จึงเป็นของพ่อแม่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยไม่ควรฝากความหวังไว้ที่ผู้ใดผู้หนึ่ง แต่ควรหันกลับมาช่วยกันสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูกๆ ได้ตั้งแต่วันนี้ที่บ้านของคุณ..

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น