เด็กไทยกับภัยจากอินเทอร์เน็ต
อินเทอร์เน็ตเป็นคลังแห่งข้อมูลและเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารและรับส่งข้อมูลข่าวสารต่างๆ
ทั่วโลก การใช้อินเทอร์เน็ตนั้นก่อประโยชน์มหาศาล
แต่ก็แอบแฝงไปด้วยภัยอันตรายต่างๆ มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเข้าถึงข้อมูลที่ไม่เหมาะสำหรับเด็ก ค่านิยมผิด ๆ ในเรื่องเพศ
การล่อลวงในวงสนทนา นอกจากนี้ยังมีเว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยเรื่องลามก
และเรื่องรุนแรงต่าง ๆ ที่ยากต่อการที่จะควบคุมตรวจสอบได้
อาชญากรรมทางอินเทอร์เน็ตเหล่านี้เป็นภัยที่อันตรายมากพอที่จะกำหนดเส้นทางอนาคตของเด็กได้
ดังนั้น ก่อนที่เด็กไทยเราจะตกเป็นเหยื่อของภัยเหล่านี้ พ่อแม่ ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำความเข้าใจภัยอันตรายต่าง ๆ
อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกยุคใหม่นี้
เพื่อที่จะรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
และปรับตัวเองตั้งรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชาญฉลาด เพื่อช่วยปกป้องและนำพาให้เดินไปในทิศทางที่ถูกต้องไม่ไขว้เขว
อินเทอร์เน็ตอันตรายต่อเด็กอย่างไร
เมื่อพูดถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้งานของอินเทอร์เน็ตโดยไม่มีการจำกัดขอบเขตหรือดูแลการใช้อินเทอร์เน็ตของเด็ก ก็จะมองเห็นปัญหาอย่างมากมาย
ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบอื่นได้ เช่น
ภาพความรุนแรงระหว่างเด็กกับอินเทอร์เน็ตในบ้านเราอาจจะไม่รุนแรงเท่ากับประเทศผู้นำด้านเทคโนโลยีทั้งหลาย
หากแต่พิจารณาตามศักยภาพและตัวเลขการใช้อินเทอร์เน็ตหรือการเปิดบริการอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่เติบโตขึ้นเรื่อยมาทำให้หลายคนอดเป็นห่วงอันตรายจากอินเทอร์เน็ตที่จะเกิดขึ้นกับเด็กในหลายรูปแบบ
อย่างแรก
คือภาพหรือข้อมูลที่ไม่เหมาะสมกับเด็ก เช่น เว็บลามก เว็บที่สนับสนุนให้ก่อความรุนแรง
หรือ เว็บที่กล่าวถึงยาเสพย์ติด หรือเว็บที่สอนในสิ่งที่ไม่ดี เช่น สอนทำระเบิดขวด
เว็บเหล่านี้อาจส่งผลต่อความคิดของเด็ก และส่งผลต่อพฤติกรรมของเด็กในอนาคต (Suler.1999)
เช่น
กรณีของเด็กในยุโรปเจอเวบไซต์ที่เกี่ยวกับการทำระเบิดขวดแล้วลองทำด้วยตัวเองโดยที่พ่อแม่ไม่ทราบแล้วนำไปโยนเล่น
จนเกิดเป็นเหตุสลดใจซึ่งในที่สุดเด็กสารภาพว่านำความรู้มาจากอินเทอร์เน็ตจึงก่อให้เกิดปัญหาตามมา
เมื่อเด็กไปเจอกับเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม
จึงเป็นเหมือนสะพานนำเด็กไปพบกับบุคคลที่ไม่หวังดีได้ เช่น กรณีของการเล่นแชท
เด็กอาจถูกล่อลวงจากผู้ใหญ่ที่มีความผิดปกติทางจิต
หรือเป็นพวกนิยมมีเพศสัมพันธ์กับเด็กเป็นต้น
อันตรายในลำดับถัดมาพบว่าเด็กในปัจจุบันใช้เวลากับอินเทอร์เน็ตมากเกินไป
ซึ่งไม่เพียงส่งผลต่อสุขภาพร่างกายโดยตรงแล้วยังเป็นการลดความสัมพันธ์กับสังคมในเวลาเดียวกันโดยเฉพาะการมีปฏิสัมพันธ์กับครอบครัว
เด็กจะหันไปสร้างความสัมพันธ์กับคนแปลกหน้า
เป็นความรู้สึกแบบฉาบฉวยและทำให้เด็กไม่กล้าสื่อสารโดยการพูดการออกกฎหมายเพื่อควบคุมการใช้อินเทอร์เน็ตเป็นความพยายามอย่างหนึ่งที่จะสกัดกั้นอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก
( Scherer.1997)
อย่างไรก็ตาม
การตามจับกุมผู้กระทำผิดทางอินเทอร์เน็ตตามจับกุมได้ยากมาก
เพราะไม่สามารถทราบได้เลยว่าคนที่เป็นเจ้าของอยู่ที่ใดและอาจใช้เซิร์ฟเวอร์จากเมืองนอกได้
การหวังพึ่งกฎหมายเพียงอย่างเดียวคงไม่อาจสกัดกั้นได้
จึงมีการออกเป็นข้อห้ามให้เด็กท่องก่อนการใช้อินเทอร์เน็ต เช่น
ห้ามบอกชื่อที่อยู่หรือข้อมูลของตัวเด็กให้กับคนในแชท
นอกจากขออนุญาตจากพ่อแม่ก่อนห้ามให้เบอร์บัตรเครดิต หรือเลขที่บัญชีเงินฝากห้ามให้พาสเวิร์ด
ห้ามโต้ตอบกับข้อความหยาบคายและที่สำคัญห้ามไปพบกับคนที่นัดหมายมาจากการแชท
เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องห้ามเด็กเพราะว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ไม่เคยเล่นอินเทอร์เน็ตเชื่อว่าสิ่งที่คู่สนทนาบอกนั้นเป็นความจริง(
ศุภเดช สุทธิพงศ์คณาสัย:2537)
ความเสี่ยงบนโลกไซเบอร์(ศรีดา.2544)
ถึงแม้อินเทอร์เน็ตจะมีประโยชน์มหาศาล
แต่ในทางกลับกัน ก็มีความเสี่ยงทุกครั้งเมื่อลูกหลานของท่านออนไลน์
เราควรรู้ถึงความเสี่ยงเหล่านี้แต่เนิ่นๆ
เพื่อป้องกันลูกหลานจากภัยอินเทอร์เน็ตที่อาจจะเกิดขึ้นได้
ความเสี่ยงเหล่านี้ได้แก่
เปิดรับสิ่งที่ไม่เหมาะสม
เมื่อเข้าไปในบางเว็บไซต์
มีความเป็นไปได้ที่จะเด็กจะเจอกับสิ่งที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ได้ตั้งใจ เช่น
โฆษณาชวนเชื่อ ข้อความรุนแรงในเว็บบอร์ด เรื่องเกี่ยวกับเซ็กซ์ภาพอนาจาร
ลิงค์ไปยังเว็บไซต์ลามก รวมไปถึงกิจกรรมมอมเมาเยาวชน และสิ่งผิดกฎหมายทั้งหลายการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
และการทำร้ายร่างกาย เมื่อเกิดการพูดคุย หรือการแชท (Chat) เกิดขึ้น
เด็กอาจจะถูกล่อหลอกให้บอกข้อมูลส่วนตัวทั้งของตนเอง และของครอบครัว
ซึ่งมิจฉาชีพจะนำไปหาผลประโยชน์ และอาจก่อความเสียหายร้ายแรงได้ หรืออีกในกรณี
เด็กอาจจะถูกชักชวนให้ไปนัดพบกับเพื่อนในอินเทอร์เน็ต
อาจเกิดการล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายได้ และเกิดอาชญากรรมตามมาถ้อยคำรุนแรง
มักจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กเข้าไปแชทกับคนแปลกหน้า หรือเมื่อเด็กเข้าไปอ่านข้อความ และแสดงความคิดเห็นในเวบบอร์ดเวบบอร์ดส่วนใหญ่จะมีระบบกรองคำหยาบอยู่แล้ว
แต่ก็มีเวบบอร์ดอีกไม่น้อยเช่นกัน ที่สามารถพิมพ์คำหยาบลงไปได้
ส่วนใหญ่เว็บบอร์ดที่ไม่เหมาะสมเหล่านี้จะแฝงตัวอยู่ในพวกเว็บไซต์ใต้ดิน
หรือเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับความรุนแรง และอนาจารโดยเฉพาะ
ซึ่งเด็กอาจจะพลัดหลงเข้าไปในเว็บไซต์ประเภทนี้ได้สิ่งผิดกฎหมาย และการเงิน มีความเป็นไปได้ที่เด็กอาจจะถูกเกลี้ยกล่อมให้บอกหมายเลขบัตรเครดิตของผู้ปกครอง
ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้ หรือแม้กระทั่งถูกชักจูงให้เข้าขบวนการมิจฉาชีพ
ทำสิ่งผิดกฎหมาย โดยใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือ
ยาเสพติด
ความสามารถในการหาข้อมูลเกือบทุกอย่างได้จากอินเทอร์เน็ต
มันง่ายจนหลายคนคิดไม่ถึงเลยทีเดียว เช่น
เด็กสามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องที่ตนสนใจได้โดยง่าย หรือหาอาวุธต่างๆ ได้
บางเว็บไซต์จะมีเนื้อหาสนับสนุนเรื่องยาเสพติด บุหรี่
และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ซึ่งชักชวนเด็กให้คล้อยตามได้ง่าย
การพนัน เว็บไซต์เกี่ยวกับการพนันมีมากมาย
ทั้งที่เล่นเพื่อความสนุก และเล่นพนันด้วยเงินจริง
เว็บไซต์ส่วนใหญ่จะชักชวนให้ผู้เล่นใช้บัตรเครดิต หรือเช็ค
ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่ทำให้เกิดการโจรกรรมหมายเลขบัตรเครดิตได้
ความเสี่ยงทั้งหลายที่ต้องเผชิญโดยไม่ได้ต้องการ
เราสามารถป้องกันได้ เพียงดูแล
ให้คำแนะนำในการเล่นอินเทอร์เน็ตอย่างถูกวิธีให้แก่บุตรหลาน
แต่ไม่ควรห้ามเด็กไม่ให้ใช้อินเทอร์เน็ตเลย
เพราะอินเทอร์เน็ตเป็นแหล่งการเรียนรู้สำหรับเด็ก
ถ้าเราสอนให้พวกเค้ารู้จักใช้อย่างถูกวิธีทั้งรวมไปถึงการฝึกฝนให้เด็ก ๆ
รู้จัดจัดสรรเวลาในด้านต่าง ให้เป็นประโยชน์มองเห็นคุณค่าของเวลาที่หมดไปโดยสูญเปล่าว่า
เวลาเหล่านี้สามารถนำไปพัฒนาตนเองให้เก่งได้เพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้กับตนเอง
โลกยุคอินเทอร์เน็ต
พ่อแม่จะปกป้องลูกอย่างไร( ศรีดา ตันทะอธิพานิช.2544)
พ่อแม่ยุคใหม่ก็จำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับสังคมในปัจจุบัน
ดังนี้
1. เป็นผู้ที่เรียนรู้อยู่เสมอ พ่อแม่จำเป็นที่จะต้องรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงต่าง
ๆ ที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างทันต่อเหตุการณ์
ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีในยุคใหม่
หรือการปรับเปลี่ยนในด้านความคิด ค่านิยมหรือกระแสต่าง ๆ ที่เข้ามาในสังคม
ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจส่งผลกระทบมาสู่ลูกของเราได้
ดังนั้นเองพ่อแม่จึงควรที่จะเป็นผู้ที่เรียนรู้อยู่เสมอ
2. ติดตามข้อมูลข่าวสารต่าง
ๆ อยู่เสมอ เพื่อที่จะสามารถ
"รู้เท่าทัน" สิ่งต่าง ๆ
ที่เกิดขึ้นเพื่อที่จะเป็นประโยชน์ในการส่งเสริมลูกให้ใช้ประโยชน์ จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้มากที่สุดและเพื่อที่จะสามารถปกป้องสิ่งต่าง
ๆ
ที่อาจจะเข้ามาทำร้ายหรือเป็นอันตรายต่อลูกของเราโดยพ่อแม่สามารถที่จะติดตามข่าวสารข้อมูลต่าง
ๆ เกี่ยวกับอันตรายในรูปแบบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นรวมถึงแนวทางในการป้องกันแก้ไข
ได้จากหลายช่องทางเช่นจากสื่อโทรทัศน์วิทยุ หนังสือพิมพ์วารสารต่าง ๆ อินเทอร์เน็ต
รวมถึงการรับข่าวสารข้อมูลจากบุคคลที่รู้จัก ครูอาจารย์
หรือจากข่าวของทางโรงเรียนที่ลูกกำลังศึกษาอยู่เช่น
ถ้าพ่อแม่มีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตย่อมสามารถตรวจสอบว่าลูกใช้คอมพิวเตอร์อย่างเกิดประโยชน์สูงสุดหรือไม่สามารถแนะนำลูกในการค้นหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์
สามารถติดตั้งโปรแกรมเพื่อตรวจสอบและกลั่นกรองเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสมไม่ให้เข้ามาขณะที่ลูกใช้อินเทอร์เน็ตอยู่
สามารถรู้เท่าทันและป้องกันลูกจากภัยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นทางอินเทอร์เน็ตได้
3. เรียนรู้ที่จะรู้จักลูกของตนเอง
วัยรุ่นมีพัฒนาการทางด้านร่างกาย
และอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรุนแรง ขึ้นลงได้อย่างรวดเร็ว
รวมทั้งความต้องการในด้านต่าง ๆ ของลูกวัยรุ่น เช่น ความอยากรู้อยากลอง
อยากได้อยากมีในสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการยอมรับในหมู่เพื่อน ความต้องการที่จะเป็นที่สนใจในหมู่เพื่อนต่างเพศ
ซึ่งธรรมชาติของวัยรุ่นนี้เองที่ทำให้ตกเป็นเหยื่อในการล่อลวงต่าง ๆ ได้โดยง่าย
พ่อแม่จำเป็นต้องมีความเข้าใจ รู้จักลูกของตนมากยิ่งขึ้นในพฤติกรรมต่าง ๆ
ที่แสดงออกมาและสามารถที่จะป้องกันปัญหาและช่วยเหลือลูกได้อย่างทันท่วงที
โดยพ่อแม่สามารถที่จะเรียนรู้ได้จากหนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับการพัฒนาการของวัยรุ่น
หรือขอคำปรึกษาจากผู้รู้หรือผู้เชี่ยวชาญที่มีประสบการณ์ในด้านการศึกษาพฤติกรรมของเด็กวัยรุ่นโดยตรง
เพื่อช่วยให้พ่อแม่รู้เท่าทันและสามารถแนะนำลูกในสิ่งที่เป็นประโยชน์ พร้อมกับสามารถปกป้องลูกของตนจากภัยอันตรายต่าง
ๆ ที่แฝงเข้ามาได้
4. เป็นผู้ที่ปลูกฝังความคิดและทัศนคติที่ถูกต้องให้แก่ลูกก่อนที่พ่อแม่จะตัดสินใจเชื่อในสิ่งใด หรือรับเอาความคิดใด ๆ เข้ามา ต้องคิดให้รอบคอบอย่างสมเหตุสมผลก่อน
ในสิ่งที่ได้รับมาว่าเป็นสิ่งดี เป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมแล้วจริงหรือไม่เพื่อสอนลูกให้เป็นคนที่มีเหตุผลและรู้จักที่จะคิดอย่างมีวิจารณญาณในการแยกแยะที่จะเลือกรับในสิ่งที่ดี
และปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ดี เพื่อไม่ให้ถูกกลืนไปกับกระแสค่านิยมต่าง
ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาได้โดยง่าย อาทิ ค่านิยมในการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันก่อนแต่งงาน
เราอาจคิดว่าเป็นวิธีการที่ดีมีประโยชน์เพราะเป็นการทดลองใช้ชีวิตคู่ร่วมกันก่อน
หากเข้ากันไม่ได้ทั้งคู่สามารถจะเลิกรากันไปได้โดยง่ายไม่ต้องมีพันธะอะไรต่อกัน
แต่ถ้าหากเราลองคิดอย่างมีวิจารณญาณแล้วจะพบว่าการอยู่ร่วมกันก่อนแต่งไม่ได้ก่อให้เกิดความสุขใด
ๆ เลยเพราะเป็นการอยู่ร่วมกันด้วยความหวาดระแวงไม่ไว้วางใจ
มีแต่ความวิตกกังวลกลัวว่าอีกฝ่ายจะจากไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ายังอยู่ในวัยเรียนทั้งคู่ และถ้าพลาดเกิดการตั้งครรภ์ขึ้นมา
อนาคตในการเรียนต่อก็มีอันต้องสูญหายไปอย่างแน่นอน
5. เป็นผู้ที่ให้ความรักและความเอาใจใส่ห่วงใยลูกอยู่เสมอ โดยทั่วไปเมื่อลูกมีพัฒนาการก้าวเข้าสู่วัยรุ่น
ปัญหาที่พบมักจะเป็นในเรื่องของการเกิดช่องว่างในความรักความเข้าใจและช่องว่างในความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่และลูก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคใหม่ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากการรับอิทธิพลต่าง
ๆ
ในโลกที่หลั่งไหลเข้ามาอย่างมากมายก่อให้เกิดความแตกต่างอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นระหว่างวิถีชีวิตวัยรุ่นยุคก่อน
กับวิถีชีวิตของเด็กวัยรุ่นในสมัยนี้
ซึ่งความแตกต่างอย่างมากนี้เองอาจส่งผลให้ช่องว่างในความเข้าใจระหว่างพ่อแม่และลูกวัยรุ่นที่มักเป็นปัญหาที่สะสมมาอยู่ก่อนแล้วถูกทำให้ขยายห่างมากยิ่งขึ้นไปอีก
ดังนั้นเองเพื่อการลดช่องว่างที่เกิดขึ้นพ่อแม่จึงควรที่จะทำความเข้าใจในตัวลูกให้มาก
6. มีเวลาให้กับลูกอย่างเฉพาะเจาะจง พ่อแม่จำเป็นต้องมีเวลาใกล้ชิดลูกอยู่เสมอ ในการพูดคุย การปรึกษาหารือ ให้ลูกรู้สึกว่าตนเองเป็นคนพิเศษของพ่อแม่
โดยตระหนักว่าแม้ว่าลูกจะเติบโตเป็นวัยรุ่นแต่เขายังคงมีความต้องการในความรัก
ความห่วงใยเอาใจใส่และการชี้ทิศนำทางจากพ่อแม่อยู่เสมอ
พ่อแม่จึงควรมีเวลาให้กับลูกอย่างเฉพาะเจาะจง
7. เปิดใจในการรับฟังความคิดเห็นของลูก เนื่องจากลูกในวัยรุ่นมีความสามารถที่จะเข้าใจในการใช้เหตุผลต่าง
ๆ ได้เป็นอย่างดีในระดับหนึ่ง ดังนั้นในการพูดคุยกับลูก
พ่อแม่ไม่ควรใช้อารมณ์ความรู้สึกเท่านั้น เช่น การเอะอะโวยวายอาละวาด
แสดงอาการโกรธเกรี้ยวไม่พอใจในการกระทำของลูก เพราะการแสดงออกเช่นนี้จะทำให้ลูกสูญเสียความไว้วางใจที่ลูกเคยมีในตัวของพ่อแม่
เพราะคิดว่าพ่อแม่ไม่รักและไม่เข้าใจ เช่น
ในกรณีที่ลูกมีรสนิยมการแต่งตัวที่ดูแปลกประหลาด ตามแฟชั่น ใส่เสื้อเกาะอก
หรือการย้อมผมสีแปลก ๆ เป็นต้นสิ่งที่พ่อแม่ควรทำคือ
พูดคุยกับลูกด้วยความเข้าใจในสภาพที่เขาเป็น ให้ลูกสามารถที่จะสัมผัสในความรักและความห่วงใยที่พ่อแม่มีต่อลูก
แล้วจึงค่อยทำการชี้แจงในสิ่งที่ลูกทำพร้อมกับฝึกให้ลูกเป็นคนที่รู้จักคิดอย่างมีเหตุผล
เพื่อลูกจะได้สามารถแยกแยะที่จะเลือกรับในสิ่งที่ดีและปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ดี
เพื่อไม่ให้ถูกกลืนไปกับกระแสค่านิยมต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาได้โดยง่าย เช่น
ชี้แจงให้ลูกฟังว่าการใส่เสื้อผ้าสายเดี่ยวนั้นทำให้เสี่ยงต่ออันตรายจากภัยข่มขืนได้
หรือการแต่งตัวที่แปลกประหลาดผิดสถานที่ผิดกาลเทศะอาจทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถือและสูญเสียโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้าต่อไปในอนาคต
8. หมั่นสังเกตและเอาใจใส่ในเรื่องการใช้เวลาของลูกอยู่เสมอ พ่อแม่ไม่ควรที่จะปล่อยปละละเลยลูกในการใช้เวลาทำกิจกรรมต่าง
ๆ โดยที่พ่อแม่ไม่รู้ว่าลูกของตนกำลังทำอะไรอยู่หรือออกไปที่ไหนกับใคร
โดยอาจให้เหตุผลว่าลูกโตแล้วหรือไม่อยากที่จะละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของลูก เนื่องจากเด็กเป็นวัยที่ถูกล่อลวงได้โดยง่าย
ซึ่งอาจเกิดอันตรายที่เราไม่คาดคิดกับลูกได้ เช่น ภัยจากยาเสพติด
การถูกล่อลวงทางเพศ
ถึงแม้ลูกจะอยู่แต่ในบ้านไม่ได้ออกไปที่ไหนก็ตามแต่ภัยอันตรายต่าง ๆ
เหล่านี้สามารถที่จะแฝงมาในรูปแบบที่เราคิดไม่ถึงได้เช่น ทางอินเทอร์เน็ต
สื่อวิทยุ โทรทัศน์
หรือแม้กระทั่งหนังสือการ์ตูนบางประเภทที่แฝงไว้ด้วยเรื่องของเพศและความรุนแรงต่าง
ๆ
ดังนั้นเองพ่อแม่จึงควรที่จะหมั่นสังเกตและเอาใจใส่ในเรื่องการใช้เวลาของลูกอยู่เสมออย่างใกล้ชิดเพื่อที่จะสามารถป้องกันอันตรายต่าง
ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นกับลูกได้อย่างทันท่วงทีจากบทบาทของความเป็นพ่อแม่ที่แต่เดิมนับว่าหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว
เมื่อเข้าสู่ในยุคสมัยใหม่พ่อแม่ต้องแสดงบทบาทที่หนักและเหน็ดเหนื่อยกว่าเดิมอีกหลายเท่า
ไม่ว่าจะต้องพัฒนาตัวเองเป็นผู้ที่กระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
การที่ต้องใช้ความระมัดระวังในการคิดอย่างรอบคอบและมีวิจารณญาณมากยิ่งขึ้นในการรับข่าวสารข้อมูลต่าง
ๆ การที่ต้องเป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์และมองการณ์ไกลวางแผนอนาคตเผื่อให้ลูก
หรือการที่จะต้องเป็นผู้ที่มีความรักความอดทนและเข้าใจจิตใจภายในของลูกอยู่เสมอ(สุพัตรา
สุภาพ.2545)
สิ่งที่พ่อแม่ต้องทำทั้งหมดนี้
เพื่อที่จะสามารถสร้างชีวิตของลูกให้เติบโตขึ้นมาได้อย่างประสบความสำเร็จในโลกยุคใหม่นี้ได้
และเพื่อที่จะปกป้องดูแลและป้องกันภัยอันตรายต่าง ๆ
ไม่ให้เข้ามาทำร้ายลูกได้นั่นเอง
ที่มา :
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น