วันอังคารที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

ข้อมูลจากงานวิจัยเกี่ยวกับสื่อ



-          สำนักวิจัยเอแบคโพลล์มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ร่วมกับมูลนิธิเครื่อข่ายครอบครัว มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ปี ๒๕๔๖ ได้ทำการสำรวจอิทธิพลของสื่อโทรทัศน์ที่มีผลต่อพฤติกรรมเด็ก พบพฤติกรมการดูทีวีของเด็กอายุ ๓ ๑๒ ปี ตามทัศนะของพ่อแม่ / ผู้ปกครองในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน ๑,๔๗๗ ตัวอย่าง พบจำนวนชั่วโมงการดูทีวีต่อวันในวันจันทร์-ศุกร์ และ วันเสาร์-อาทิตย์ จำนวนชั่วโมงดูทีวี เฉลี่ย ๓ ๕ ชม. / วัน ช่วงเวลาที่ดูมากที่สุดคือ จันทร์ ศุกร์ ช่วง๔โมงเย็น๒ ทุ่ม ในวันเสาร์และอาทิตย์ ช่วง ๘ โมงเช้า ถึงเที่ยงเด็กนิยมดูทีวีมากที่สุด พ่อแม่ / ผู้ปกครองกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ให้ความคิดว่าสื่อมีผลต่อพฤติกรรมลูกหลาน ด้านต่าง ๆ และมีผลเสียต่อเด็กอยู่ในระดับปานกลาง เช่นเดียวกับการทำงานด้านการกลั่นกรองสื่อของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมถึง ตัวพ่อแม่ที่ทำหน้าที่กลั่นกรองสื่อให้ลูกอยู่ในระดับปานกลางอีกด้วย ส่วนการจัดประเภทของรายการในช่วงเวลาที่เหมาะสมกับเด็กส่วนใหญ่เห็นว่าเหมาะ สมดีแล้ว

-          มูลนิธิรักษ์เด็กกล่าวถึง เรื่อง โทรทัศน์กับเด็ก ในโครงการยุทธศาสตร์สื่อเด็กมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก(มพด.) ได้กล่าวถึงเรื่องการใช้เวลาของเด็กส่วนใหญ่อยู่กับทีวีมากกว่าการเรียนหนังสือ ในห้องเรียนตลอดทั้งปีเด็กและเยาวชนอายุ ๖ ๒๔ ปีใช้เวลาถึง ๒,๒๓๖ ชั่วโมง ซึ่งในขณะที่มีเวลาในห้องเรียนเพียง ๑,๖๐๐ ชั่วโมง ใน หนึ่งวันโดยเฉลี่ยเด็กดูทีวีประมาณ ๕ ชั่วโมง

-          ผลวิจัยชี้ว่ามีความสัมพันธ์สูงระหว่างการเสพสื่อที่แสดงความรุนแรงต่อทัศนคติที่เป็นปัญหาของเด็ก 3 ประการคือ การมีทัศนคติที่ก้าวร้าวต่อผู้อื่นหรือต่อต้านสังคม  การเพิกเฉยหรือยอมรับการใช้ความรนแรงแก้ปัญหา  และการเครียดหรือหวาดวิตกต่อการถูกทำร้าย

-          จากงานวิจัยยังพบอีกว่าเด็กกลุ่มเสี่ยงที่จะรับผลจากความรุนแรงในโทรทัศน์ได้มากเป็นพิเศษคือ เด็กที่มีความที่มีปัญหาทางอารมณ์หรือเด็กที่มีปัญหาในด้านการเรียนอยู่แล้ว  ตลอดจนเด็กที่ถูกทารุณกรรมจากครอบครัวหรือมีปัญหาครอบครัวจะมีโอกาสสูงกว่าเด็กทั่วไปในการซึมซับและลอกเลียนความรุนแรงที่เห็นมาใช้ในชีวิตจริง

-          งานวิจัยด้านพัฒนาการของเด็กพบว่า ในช่วงที่เด็กอายุ 1-3 ขวบถ้ามีการดูทีวีมากเกินไปจะมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับสมาธิในการเรียนเมื่ออายุ 7 ขวบ  และเด็กที่ดูทีวีตั้งแต่ 10 ชั่วโมงขึ้นไปต่อสัปดาห์จะมีผลกระทบต่อสัมฤทธิผลด้านการอ่านของเด็ก

-          งานวิจัยหลายชิ้นจึงมีข้อเสนอคล้ายๆ กันว่าพ่อแม่ควรจำกัดเวลาการดูโทรทัศน์ของลูกให้มีแค่ 1 - 2 ชั่ว โมงต่อวัน และควรกําหนดรายการโทรทัศน์ที่ลูกจะดูด้วย ซึ่งยังรวมไปถึงการเลือกสื่อในรูปแบบอื่นๆ ที่ล้วนแล้วมีผลต่อการพัฒนาสมองของเด็กทั้งสิ้น  (ศันนีย์ ฉัตรคุปต์, 2543)

-          งานวิจัยเกี่ยวกับพัฒนาการเด็กในวัย ๐ ๖ ขวบกล่าวถึงการเจริญเติบโตของเซลล์สมองในเด็กแรกเกิดจะมีการเชื่อมต่อของใย ประสาทอยู่ตลอดเวลาที่เด็ก ได้รับการกระตุ้นโดยเฉพาะด้านภาษางานวิจัยสนับสนุนความจริงว่าเด็กที่อายุ ต่ำกว่า ๒ ปี ดูแต่ทีวีซึ่งเป็นการสื่อสารทางเดียวเป็นเวลานาน ตลอด ๖ ๘ ชั่วโมงต่อวันเซลล์ประสาทที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางภาษาจะขาดการกระตุ้นใน ขณะนั้นเนื่องจากเด็กขาดปฏิสัมพันธ์กับพ่อแม่เด็กจึงไม่ได้เรียนรู้ที่จะ สื่อให้ผู้อื่นเข้าใจตนเองได้ นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าภาพเคลื่อนไหวในทีวีทำให้เด็กขาดสมาธิในการเรียนรู้ สิ่งต่างๆ ได้

-          งานวิจัยประเทศสหรัฐอเมริกาที่มหาวิทยาลัย คอร์เนลล์,มหาวิทยาลัยอินเดียน่า และมหาวิทยาลัยเพอร์เดอร์(Purdue University) ได้ศึกษาความเชื่อมโยงจากการดูทีวีของเด็กอเมริกันว่าเป็นตัวกระตุ้นทำให้ เกิดโรคออติซึมได้

-          ดร. แอริค ซิกมัน ( Dr. Aric Sigman ) ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาการศึกษาแห่งสหราชอาณาจักร ( Associate Fellow of the British Psychological) ได้ศึกษาผลของทีวีต่อสุขภาพและได้แถลงต่อคณะสมาชิกวุฒิสภาประเทสอังกฤษจัด โดยองค์กรด้านสื่อสารมวลชน Mediawatch – UK มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ว่าการดูทีวีเป็นเวลานานมีผลต่อรูปแบบการนอนที่ผิดปกติและลดอัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายจนเกิดโรคอ้วนได้


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น